https://www.facebook.com/babara.ha.58/posts/4102604723152844?notif_id=1623983105537010¬if_t=feedback_reaction_generic&ref=notifดร.ธีร์รัฐ บุนนาค
10 ชม. ·
“คำพิพากษาคดีลุงวิศวะ..”
ข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน.. เมื่อมีวิศวกรรายหนึ่งขับรถพาครอบครัวไปต่างจังหวัด..
แวะจอดรถยนต์ แต่มีรถตู้จอดขวางทางออกไม่ได้.. มีการกล่าวคำสบถ.. กลุ่มชายวัยรุ่นในรถตู้ไม่พอใจ..
ต่อมาเหตุการณ์จบแล้ว.. ต่างฝ่ายต่างขับรถออกมา.. รถตู้ดังกล่าวเปิดไฟสูงใส่รถของวิศวะ..
พอรถจอด.. พวกกลุ่มวัยรุ่นมาล้อมรถของฝ่ายวิศวะ.. มีบางคนต่อยคุณวิศวะขณะที่นั่งตรงที่นั่งคนขับ..
วัยรุ่นคนหนึ่ง ยื่นหน้าเข้ามาในรถ และพูดว่า..
“มึงจะรบอ่ะป่าว..”
คุณวิศวะชักปืนยิงเข้าหน้าอกวัยรุ่นคนนั้น 1 นัด ถึงแก่ความตาย..
พอเป็นข่าว.. กระแสสังคมก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย.. บางฝ่ายบอกว่า..
“ลุงวิศวะทำถูกแล้ว.. จะปล่อยให้วัยรุ่นลากลงรถมากระทืบตายก่อน.. แล้วค่อยยิงรึไง..”
แต่สังคมอีกฝ่ายหนึ่ง ก็บอก..
“อ้าว.. ก็ลุงมันอารมณ์ร้อน จอดรถขวางแค่นี้ไปด่าเขาก่อน.. เพราะตัวเองมีปืนมาใช่มั้ย.. เลยไม่ยอม.. แล้วเรื่องแค่นี้ต้องเอาให้ตายเลยรึไง..”
คุณวิศวะถูกอัยการฟ้องว่า ฆ่าคนตายโดยเจตนา.. จำเลยต่อสู้ว่า เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่ผิด..
#ข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา..
มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ ตั้งแต่จำคุก 15 ปี สูงสุดคือ ประหารชีวิต..
มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำผิดเพื่อป้องกันสิทธิ เพราะเกิดภยันตรายที่ใกล้จะถึง..
ถ้าทำพอสมควรแก่เหตุ.. ผู้นั้นไม่มีความผิด..
แต่ถ้าทำเกินสมควร.. ต้องรับโทษบางส่วน..
ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า..
“จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา.. ลงโทษจำคุก 10 ปี.. “
#วิเคราะห์คำพิพากษาศาลชั้นต้น..
1. ศาลอาจจะมองว่า.. ยังไม่เกิดอันตรายที่ใกล้จะถึง.. หรือเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาท..
จึงไม่ใช่การป้องกันตัวโดยชอบ.. จำเลยอ้างว่าป้องกันตัวเพื่อให้พ้นผิดไม่ได้..
2. จำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิงเข้าหน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ.. โดยมีโอกาสเลือกยิงได้.. จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา..
3. ศาลชั้นต้นให้ความปราณีแล้ว โดยลงโทษขั้นต่ำสุดคือ จำคุก 15 ปี และลดโทษให้อีกเล็กน้อย เหลือจำคุก 10 ปี..
คดีนี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์ว่า เป็นเรื่องป้องกันตัวโดยชอบ.. ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง..
#คำพิพากษาศาลอุทธรณ์..
ศาลอุทธรณ์ มีความเห็นเหมือนศาลชั้นต้นว่า..
“กรณีไม่ใช่การป้องกันตัว.. จำเลยจึงมีความผิด..
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน.. คือ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยเหมือนคำพิพากษาศาลชั้นต้น..”
จำเลยไม่เห็นด้วย.. จึงยื่นฎีกา.. และขอประกันตัวต่อในระหว่างพิจารณา..
ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา แต่จำเลยไม่มาในวัดนัด.. ศาลฎีกาจึงงดอ่าน แล้วมีคำสั่งปรับ ริบเงินที่นายประกันวางไว้.. แล้วออกหมายจับจำเลย..
ศาลรอจนครบ 1 เดือนตามกฎหมายแล้ว. . ก็ยังจับตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาไม่ได้..
จึงอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยตามกฎหมาย..
#คำพิพากษาศาลฎีกา...
ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 3544/2561 โดยให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า..
“จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิ เพราะมีภยันตรายที่ใกล้จะถึง.. แต่กระทำเกินสมควร..
จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตาย.. ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน..
และให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี.. โดยคุมประพฤติจำเลยไว้..”
สรุปคำพิพากษาว่า ศาลฎีกา พิพากษาว่า จำเลยมีความผิด เพราะจำเลยกระทำโดยป้องกันเกินสมควร.. แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้..
ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่เห็นว่า.. จำเลยกระทำโดยป้องกันสิทธิตามกฎหมาย..
และเห็นแบบนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นยังไม่ตัดสินแล้ว.. 55 แต่พูดไม่ได้.. เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด..
โดยมารยาทของนักกฎหมายแล้ว ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ผลคดีก่อนศาลตัดสิน.. เพราะเรายังไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เขาจะนำสืบในศาล..
การรู้ข้อมูลจากสื่อต่างๆ.. อาจจะคลาดเคลื่อนได้ง่าย..
การวิจารณ์โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เขาจะสืบในศาล.. ถ้าเจตนาโน้วน้าวให้ศาล หรือสังคมเห็นตาม เชื่อตาม อาจเสียความยุติธรรมได้..
ไม่ว่า ผู้วิจารณ์เป็นสื่อมวลชน.. เป็นนักวิชาการ.. เป็นนักกฎหมาย.. หรือเป็นชาวบ้าน..
ก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้นะครับ..
แต่ถ้าคดีถึงที่สุดแล้ว.. เขาให้พิมพ์คำพิพากษาเผยแพร่ครับ..
เพื่อให้ประชาชนได้อ่าน.. เพื่อให้นักวิชาการได้วิพากษ์ วิจารณ์คำพิพากษา..
ท่านจะไม่เห็นด้วยก็ได้.. ถ้ามีการวิจารณ์ด้วยเหตุผล ด้วยกระบวนกฎหมายให้ทำได้เต็มที่.. ไม่เป็นความผิดใดๆนะ..
เพราะนี่คือ กระบวนการตรวจสอบคำพิพากษาโดยประชาชน.. และเป็นหลักโปร่งใสในการทำงานของศาลที่เหมือนกันทั่วโลก..
#วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา..
1. ศาลฎีกาเห็นว่า.. เหตุการณ์ที่ทะเลาะกันตรงที่จอดรถนั้น สิ้นสุดลงแล้ว.. ต่างคนต่างแยกย้ายกันขับรถออกจากจุดที่ขัดแย้งกันแล้ว..
เหตุยิงปืน เกิดขึ้นเพราะมีเหตุการณ์ใหม่ซึ่งจำเลยไม่ใช่เป็นผู้ก่อให้เกิด.. จึงไม่ใช่การสมัครใจทะเลาะวิวาท..
2. จำเลยไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เพราะเพียงเหตุการโต้เถียงกันเกี่ยวกับการจอดรถ.. ไม่น่าร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยจะมีเจตนาฆ่า..
3. เมื่อจำเลย กับฝ่ายผู้ตายขับรถมาจอดยังจุดเกิดเหตุแล้ว.. กลุ่มผู้ตายหลายคนได้เข้ามาล้อมรถยนต์ของจำเลย..
จำเลยอยู่ในที่บังคับ.. เพราะยังนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับ หลบเลี่ยงไม่ได้..
กลุ่มของผู้ตายบางคนชก จำเลยถูกที่ที่บริเวณด้านหลังศีรษะ..
ผู้ตายยื่นศีรษะเข้ามาทางหน้าต่างด้านคนขับ.. พร้อมกับพูดว่า..
“มึงจะรบรึเปล่า..”
คำพูดนี้น่าจะหมายความว่า.. จำเลยต้องการจะต่อสู้กับฝ่ายผู้ตายหรือไม่.. ในทำนองชักชวนให้ทะเลาะวิวาท..
ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ตาย และฝ่ายผู้ตายที่ล้อมรถและทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน..
เป็นภยันตรายที่ใกล้จะเกิดแล้ว..
4. จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่หน้าอก 1 นัด.. จำเลยจึงอาจจะอ้างมาตรา 68 ว่า เป็นการป้องกันตัว ไม่เป็นความผิดได้..
5. แต่ศาลเห็นว่า ภยันตรายที่ใกล้จะถึง.. หรือกำลังเกิดอยู่นี้.. เป็นภยันตรายที่จะเกิดกับร่างกายของจำเลยเท่านั้น..
การที่จำเลยยิงผู้ตายจนเสียชีวิต.. เป็นภยันตรายถึงชีวิต..
ไม่ใช่แค่ภยันตรายต่อร่างกายเท่านั้น..
นับว่า.. ภัยที่จำเลยกระทำต่อผู้ตาย มีความร้ายแรงกว่า.. ภัยที่กำลังเกิดกับจำเลย..
เมื่อจำเลยมีโอกาสจะเลือกยิงปืนขู่ หรือยิงอวัยวะส่วนอื่นที่ไม่สำคัญของผู้ตายได้.. แต่ไม่ทำ กลับเลือกยิงที่หน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ..
ถือว่า จำเลยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ..
จำเลยจึงมีความผิด และยังต้องรับโทษอยู่.. แต่กฎหมายบอกว่า.. ศาลจะลงน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ก็ได้..
6. ศาลเห็นว่า.. แม้โทษฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288 จะมีขั้นต่ำให้จำคุก 15 ปีก็ตาม..
แต่พฤติการณ์ลักษณะนี้.. จำเลยควรรับโทษจำคุกเพียง 3 ปี 4 เดือน..
7. ศาลเห็นว่า.. แม้จำเลยจะกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น.. แต่ก็เกิดจากการป้องกันสิทธิตัวเองที่เกินสมควรไป..
ไม่ใช่เจตนาฆ่าผู้อื่นเหมือนกรณีทั่วไป.. เป็นการกระทำผิดในสถานการณ์บังคับ..
ความชั่วร้ายมีน้อยกว่า.. และจำเลยยังไม่เคยทำผิดมาก่อน..
ศาลเห็นว่า ควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นเมืองดีโดยไม่ต้องรับโทษจำคุก..
จึงพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกไว้กำหนด 3 ปี.. และให้ปฎิบัติตามเงื่อนไขคุมประพฤติ..
8. ศาลเห็นว่า.. กลุ่มผู้ตายไม่มีสิทธิมาล้อมรถ และทำร้ายร่างกายจำเลย.. ผู้ตายจึงกระทำเพื่อป้องกันได้..
แต่อาจจะเป็นเพราะนิสัยอารมณ์ร้อนของจำเลย.. ทำให้ระงับอารมณ์ไม่ทัน จึงแก้ปัญหาโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย..
ศาลจึงวางเงื่อนไขคุมประพฤติให้แก้ไขนิสัยของจำเลย.. ด้วยการเข้ารับการอบรมการควบคุมอารมณ์ในการใช้รถใช้ถนน..
สำหรับเงื่อนไขคุมประพฤติแบบนี้..
ผู้เขียนขอชื่นชมท่านผู้พิพากษาฎีกานะครับ.. ที่ท่านเป็นนักกฎหมายรุ่นใหม่ที่
เห็นว่า ศาลต้องมีบทบาทในการช่วยแก้ไขปัญหาสังคมด้วย (problem solving court)..
ไม่ใช่แค่ตัดสิน ลงโทษ ยกฟ้อง อย่างเดียว..
เมื่อสาเหตุเกิดจากความใจร้อน. ก็ควรแก้ไขที่สาเหตุ.. หากลงโทษจำคุกไป.. ในส่วนของญาติเหยื่ออาจสะใจ และพึงพอใจ..
แต่ก็ไม่ได้ทำให้นิสัยใจร้อนของจำเลยหายไป.. อนาคต จำเลยกระทำผิดเพราะความใจร้อนอีกก็ได้..
การรอการลงโทษ และกำหนดเงื่อนคุมประพฤติที่เหมาะสม.. น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า. ที่จะแก้ไขฟื้นฟูจำเลยไม่ให้กระทำผิดซ้ำ..
ในบางกรณียังสั่งให้เยียวยาความเสียหายให้เหยื่อได้อีกด้วย..
โดยสรุปแล้ว.. ผู้เขียนเห็นด้วยในคำพิพากษาที่วินิจฉัยว่า..กรณีดังกล่าว เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิตามกฎหมาย..
และที่ให้รอการลงโทษ โดยกำหนดให้จำเลยได้รับการอบรม..
แต่ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลฎีกา..
ผู้เขียนขออนุญาตแสดงความเห็นแตกต่างในบางประเด็น.. เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับแนวคิดวิชาการทางกฎหมาย ดังนี้..
ผู้เขียนเคยได้ยิน คนดีที่มีอาวุธปืนในครอบครอง ชอบพูดว่า..
“ไม่ต้องกลัวหรอก.. พกพาปืนไปเลย.. ไม่ต้องกลัวถูกจับ.. ถ้ามีเหตุต้องยิงคนตายจริงๆ.. ต้องติดคุก..
เข้าคุก.. ก็ยังดีกว่าเข้าโลง..” หรือ..
“อาวุธปืนนั้น.. มีแล้วอย่าเอาออกมาโชว์.. อย่าชักปืนเพื่อขู่.. (เพราะถ้าเขามีปืน เขาจะชักเพื่อยิงเรา)..
ถ้าไม่จำเป็น จงอย่าชักปืน.. ถ้าชักแล้ว ต้องยิง..
ถ้ายิงแล้ว.. ต้องยิงให้ตาย.. (ถ้าเขาไม่ตาย เราจะตายก่อน ถ้าเขามีปืน..)..”
วิถีของคนมีปืน และใช้ปืนเป็น ผ่านการฝึกอบรมมานั้น..
ทุกสถาบัน สอนให้ยิงเพื่อหยุดยั้ง. เพื่อมิให้อีกฝ่ายโต้ตอบได้..
วิธีหยุดยั้ง.. คือต้องยิง บริเวณจุดสำคัญ.. ได้แก่ แนวตั้ง ตั้งแต่ศีรษะ.. คอ.. หน้าอก.. กลางช่องท้อง.. เพราะเป็นแนวกระดูกสันหลัง..
ไม่มีสถาบันไหน.. สอนให้ยิงขู่.. ฝึกให้ยิงแขน ยิงขาให้แม่นยำ..
เวลาเกิดเหตุการณ์จริง.. คนชำนาญอาวุธปืน จะยิงตามสัญชาติญาณตามที่ฝึกมาโดยอัตโนมัติ.. คือ จุดตาย..
ตามข้อเท็จจริงในคดี.. ด้วยความเคารพ.. การที่ศาลท่านเห็นว่า จำเลยควรเลือกยิงขู่ หรือยิงอวัยวะอื่นที่ไม่สำคัญนั้น.. ผู้เขียนไม่ใคร่จะเห็นด้วยนัก..
การที่จำเลยมีอายุมากกว่ากลุ่มของผู้ตายซึ่งเป็นวัยรุ่น มากันหลายคน.. มีความแข็งแรงทางกายมากกว่า..
ขณะเกิดเหตุ.. กลุ่มผู้ตายมาประชิดตัวจำเลยแล้ว.. และเริ่มลงมือชกต่อยจำเลยอยู่..
โอกาสที่จะเกิดได้มาก.. นั่นคือ. .
พวกผู้ตายบางคน.. อาจหยิบก้อนหินใหญ่มาทุบศีรษะจำเลยขณะชุลมุน..
บางคนอาจชักอาวุธมีดออกมาแทงทำร้ายขณะจำเลยนั่งในรถ..
หรือจำเลยอาจถูกลากตัวลงมาจากรถยนต์ และโดนรุมถีบกระทืบ..
แน่นอนว่า ภยันตรายถึงชีวิตจำเลยย่อมเกิดขึ้นได้..
และแน่นอนว่า.. ถ้ารอเวลานั้นมาถึง.. จำเลยคงไม่มีโอกาสชักอาวุธปืนขึ้นป้องกันชีวิตได้ทัน..
ถ้าไม่ใช้อาวุธปืนตอนนั้น.. จำเลยตายแน่ครับ..
ยังไม่รวมถึง อันตรายที่จะเกิดกับภริยาจำเลยที่อยู่ในรถด้วย..
ถ้าถามคนใช้อาวุธปืน. และมีชีวิตที่เสี่ยงกับความตาย.. ผมเชื่อว่า .
“เขาจะเลือกยิง ในขณะที่เขายังมีโอกาสชักปืนได้..”
พฤติการณ์ที่จำเลยถูกคนอายุน้อยกว่า จำนวนมาก.. และยังไม่รู้ชัดว่าใครมีอาวุธหรือไม่.. เข้ามาทำร้ายร่างกายแบบล้อมกรอบ..
ในขณะที่จำเลยติดอยู่กับที่นั่ง.. จะป้องตัว ก็ไม่ถนัด.. จะหลบหนี ก็ทำไม่ได้..
ผู้เขียนเห็นเหมือนกันศาลฎีกาว่า.. เป็นภยันตรายที่เกิดจากการละเมิดกฎหมายที่ใกล้จะถึง และจำเลยมีสิทธิป้องกันตัวและครอบครัวได้..
แต่มีปัญหาว่า.. การป้องกันตัวนั้นพอสมควรแก่เห็นหรือไม่..
ผู้เขียนเห็นว่า.. นั่นคือภยันตรายที่อาจจะเกิดกับชีวิตของจำเลยได้ทุกวินาที..
การที่จำเลยซึ่งเป็นวิศวะกร.. ไม่มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนมาก่อน..
เหตุการณ์ทำร้ายเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน..
จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงไปทันทีทันใด โดยไม่มีโอกาสยิงขู่ หรือเลือกยิงอวัยวะที่ต้องการได้..
และยิงไปเพียง 1 นัด..
น่าเชื่อว่า เป็นการยิงไปยังบุคคลที่น่าจะเป็นภัยอันตรายอย่างกระทันหัน.. เพื่อหยุดยั้งการคุกคามเท่านั้น.. ไม่มีโอกาสเลือกยิง..
จึงนับว่า เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุแล้ว..
จำเลย ไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น..
นอกจากนี้.. เมื่อจำเลยรู้อยู่ว่า ปืนเป็นอาวุธร้ายแรง.. จำเลยใข้ปืนยิงไปยังผู้ตายในระยะประชิด..
แม้จะไม่มีโอกาสเลือกยิงได้.. แต่จำเลยย่อมรู้เเน่ว่า เมื่อยิงแล้ว ผู้ตายต้องได้รับบาดเจ็บถึงขนาดเสียชีวิตได้แน่นอน..
ถือว่า จำเลยเล็งเห็นผลในความตายนั่นแล้ว.. จำเลยจึงมีเจตนากระทำผิดฐานฆ่าคนตายแล้ว..
แต่กฎหมายถือว่า ไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการป้องกันสิทธิที่พอสมควรแก่เหตุ..
ขอให้นักศึกษากฎหมายจำไว้ว่า.. มาตรา 68 เรื่องป้องกันสิทธินั้น.. กฎหมายบัญญัติไว้หลังมาตรา 59 เรื่องเจตนา..
เวลาพิจารณา พึงคำนึงเสมอว่า.. จะใช้มาตรา 68 ได้.. จะต้องผ่านมาตรา 59 มาก่อนแล้ว.. พิจารณาตามลำดับ..
นั่นคือ จำเลยต้องมีเจตนากระทำผิดแล้ว.. จึงค่อยพิจารณาข้อยกเว้นว่า จำเลยไม่มีความผิด
หรือไม่ต้องรับโทษในเจตนาและการกระทำผิดที่ทำไปแล้วหรือไม่..
คำพิพากษาฎีกานี้.. โดยผลคำพิพากษาแล้ว นับว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของคำพิพากษาฎีกาในการพิจารณา
หลักเรื่องป้องกันสิทธิ.. และดุลพินิจในการรอการลงโทษ และการกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติ..
คำพิพากษาฎีกานี้ สะท้อนหลักกฎหมาย.. การนำมาใช้.. และแนวคิดด้านทัณฑวิทยาที่ดีเท่านั้น..
ส่วนมุมมองด้าน การเยียวยาผู้เสียหาย.. และการชดเชยในทางแพ่งนั้น. ก็เป็นแนวคิดอีกส่วนหนึ่งที่ต้องศึกษาอีกส่วนหนึ่งด้วย..
หวังว่า โพสต์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักกฎหมาย และประชาชนทั่วไปที่สนใจศึกษากระบวนการยุติธรรมนะครับ..